Q: กลยุทธ์หลักๆ ในช่วงปี 2568 จะเป็นอย่างไร

A:

  • รักษาระดับกำไรขั้นต้นที่อยู่ในระดับสูง โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนในการผลิต เพื่อลดอัตราการแข่งขันในตลาด
  • มุ่งเน้นสินค้านวัตกรรม ที่มีศักยภาพและสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน การผลิต ในการลดเวลาและของเสียระหว่างผลิต

Q: แนวโน้มไตรมาศ 1/2568 เป็นอย่างไรบ้าง

A: เติบโตต่อเนื่องจากปี 2024 โดยเติบโตชัดเจนในกลุ่ม Automotive ที่เริ่มมีรายได้เข้ามาตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3-4 ของปี 2024 และยังมีสินค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่มเติมในปี 2025 ระหว่างปี กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค จะกลับมาขยายตัวอีกครั้งผ่านการเพิ่มเติมผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น ภายใต้ Global brand ที่เป็นที่รู้จัก และกลุ่ม Medical เติบโตผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังจะ Mass production ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 เป็นต้นไป

Q: capacity การรับงานของบริษัททั้งด้านเครื่องจักรและคน ตอนนี้กี่ % แล้วและถ้าจะรับงานเพิ่ม เพื่อเพิ่มขนาดของบริษัทจะต้องทำอย่างไร

A: ปัจจุบัน Capacity ที่ใช้อยู่ประมาณ 60-70% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมต่อการผลิต เนื่องจากยังสามารถรับคำสั่งซื้อหรือโอกาสใหม่ๆ ที่จะเข้ามาได้ และยังสามารถใช้ Capacity ที่เหลือเพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนารวมถึงปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้ ในขณะที่ Fixed cost ยังไม่สูงเกินไปจนทำให้เสียความสามารถในการแข่งขัน ทั้งนี้บริษัทมีเงินสดสำรองในระดับสูง ประกอบกับ Infrastructure ของโรงงานพร้อมสำหรับการรองรับการขยายตัวหรือเพิ่มกำลังการผลิตอยู่แล้ว ทำให้การเพิ่มกำลังการผลิตสามารถทำได้ทันที โดยการซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม ซึ่งใช้เวลาเพียง 2-3 เดือน โดยระหว่างรอสามารถใช้ Capacity ส่วนที่ยังเหลืออยู่ได้

Q: แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงปี 2568 จะดีกว่าปี 2567 หรือไม่

A: ผลการดำเนินงานจะเติบโตค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ทั้งด้านรายได้และกำไร โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 20%

Q: ถ้ามองเป้าหมายธุรกิจในระยะกลาง 3-5 ปี POLY จะมุ่งเน้นไปในด้านใด จะเห็นอะไร เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันบ้าง

A: บริษัทยังตั้งเป้าเพิ่มเติมสัดส่วนของรายได้จากธุรกิจ non-automotive ให้สูงขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันก็มีการเพิ่ม Medical กับ Consumer เข้ามาแล้ว และในอีก 3-5 ปีข้างหน้าก็จะมีสินค้าในกลุ่มใหม่เข้ามาเพิ่มเติมเรื่อยๆ เพื่อสนับสนุนและรองรับการเติบโตในระยะยาว

Q: gpm ของทางการแพทย์ ดูสูงผิดปกติหรือไม่ หรือปกติสินค้ากลุ่มนี้ gpm สูงแบบนี้อยู่แล้ว

A: สินค้าทางการแพทย์โดยปกติเป็นสินค้าที่มี GPM ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว และสำหรับสินค้าทางการแพทย์ของ POLY เป็นสินค้าที่เป็นนวัตกรรมมีความซับซ้อนในการผลิต และมีคู่แข่งน้อยรายที่ผลิตได้ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนที่สูง และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง โดยทั้งเครื่องจักรและเครื่องมือ เป็นเครื่องมือที่ออกแบบเพื่อผลิตภัณฑ์แบบเฉพาะเจาะจง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการผลิตที่สูงที่สุด รวมถึงการควบคุมสภาพแวดล้อมและการทำงานที่ออกแบบมาให้เป็นระบบ Automation เกือบทั้งหมด ทำให้สินค้าในกลุ่มนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูง

Q: ลูกค้าทางการแพทย์ของเราเป็น oem ใช่หรือไม่ ไม่ได้ทำแบรด์ตัวเอง

A: เป็น OEM เนื่องจากจุดเด่นของ POLY จะมุ่งเน้นไปที่การผลิตเป็นหลัก โดยใช้ประโยชน์จาก Facility และเครื่องมือ เครื่องจักรที่มีรวมถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและวัสดุศาสตร์ ทำให้บริษัทดำเนินกลยุทธมุ่งเน้นด้านการผลิตมากกว่าการสร้างแบรนด์

Q: คิดว่าตัวสินค้าทางการแพทย์จะทดแทนสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าได้หรือไม่

A: ทั้งสองกลุ่มสินค้าแยกจากกันอย่างชัดเจน ซึ่งในปี 2025 มีโอกาสที่จะเติบโตควบคู่กันไปไม่ได้ทดแทนกัน

Q: capex ปี 68 มีอะไรบ้าง ทั้งหมดเท่าไหร่

A: CAPEX สำหรับปี 2025 บริษัทมีแผนขยายโรงงานโดยการเพิ่มจำนวนเครื่องจักร เครื่องทดสอบ และขยายคลังสินค้า เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่สูงขึ้น รวมถึงสินค้าในกลุ่มพลังงานและสายส่งที่ โดยตั้งงบประมาณไว้ประมาณ 90 ล้านบาท

Q: สินค้าทางการแพทย์ตัวใดจะสร้างรายได้ให้บริษัทอย่างมีนัยยะบ้าง

A: สินค้าทางการแพทย์มีหลายผลิตภัณฑ์ที่มี Volume ซึ่งประกอบด้วย สายส่งเลือด ตัวล็อคเข็มฉีดยา ตัวให้สารละลายทางเส้นเลือด อุปกรณ์การเพิ่มโอกาสการมีบุตร เป็นต้น

Q: สินค้ายานยนต์ เราได้ลูกค้าจีนบ้างหรือไม่ หลักๆกลุ่มนี้รายได้มาจากรถเจ้าใด

A: ปัจจุบันยังไม่มีลูกค้ายานยนต์จากจีน เนื่องจากปัจจุบันส่วนใหญ่ยังเป็นการนำเข้ารถยนต์แบบทั้งคัน ซึ่งในอนาคตจะมีการผลิตชิ้นส่วนในไทยเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตามถ้าราคาและอัตรากำไรขั้นต้นของชิ้นส่วนดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายของบริษัท ก็จะเสนอราคาร่วมเป็นผู้ผลิตด้วยในอนาคต

Q: ปีก่อนตั้งเป้าโต 20% แต่ทำไม่ได้ ปีนี้จะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนอย่างไร

A: ถึงแม้ว่าภาพของการเติบโตด้านรายได้อาจจะไม่ได้ตามเป้า แต่รายได้ยังมีการเติบโตที่ 6% สวนทางกับสภาพแวดล้อม รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจที่มีการหดตัวค่อนข้างรุนแรง นอกจากนี้ในภาพของกำไรสุทธิก็มีการเติบโตค่อนข้างชัดเจน และเติบโตมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ ผ่านการผลิต และการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กำไรสุทธิเติบโตถึง 22% ซึ่งในปี 2025 แนวโน้มของสภาพแวดล้อมและสภาวะเศรษฐกิจ มีแนวโน้มจะฟื้นตัวมากขึ้น ประกอบกับเราได้เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่เห็นได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2024 ทำให้สามารถเชื่อได้ว่าเป้า 20% ของปี 2025 ไม่ได้สูงเกินไป

Q: เงินสดบริษัทเยอะ จะมีดีล m&a หรือไม่

A: บริษัทยังเปิดรับโอกาสใหม่ๆทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ถ้ามีธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายการเติบโต หรือสนับสนุนการเติบโตก็ไม่ปิดกั้นโอกาสที่พิจารณา

Q: ตัวลูกถ้วยไฟฟ้า คิดว่าจะสร้างรายได้เท่าไหร่

A: ปัจจุบันตลาดของลูกถ้วยไฟฟ้าจากซิลิโคนมีขนาดยังไม่ใหญ่เท่าลูกถ้วยไฟฟ้าจากพอร์ซเลน แต่แนวโน้มเติบโตขึ้นทุกๆปี ปัจจุบันอยู่ในระยะเริ่มต้น และเริ่มใช้ในบางจังหวัดแล้ว ซึ่งเราตั้งเป้าสร้างรายได้ในกลุ่มนี้สำหรับระยะแรกไว้ที่ 20 ล้านบาท

Q: คู่แข่งลูกถ้วยแบบนี้ มีเยอะหรือไม่

A: คู่แข่งยังไม่มากนัก และส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากประเทศจีน เนื่องจากว่าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ต้องได้รับการรับรองจากมาตรฐานสากล และผ่านการทดสอบทางวิศกรรมที่ละเอียดและเข้มงวด ในการผลิตก็ต้องใช้หลายศาสตร์ที่เข้ามาบูรณาการ เช่น ไฟฟ้า ซิลิโคน เทคนิคการผลิต การทดสอบความต้านทาน ซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขา และต้องการเงินลงทุนที่ค่อนข้างสูงที่จะทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ และกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐาน

Q: บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ในปี 2567 ไว้เท่าไร และในอนาคตบริษัทวางเป้าหมายไว้อย่างไรบ้าง

A: บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ของแต่ละกลุ่มธุรกิจให้กระจายตัวใกล้เคียงกัน เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเป็นหลัก โดยใช้จุดแข็งของบริษัทที่เป็น Turn-key solution ที่สามารถเข้าไปอยู่ในทุกอุตสาหกรรมได้

Q: คาดว่าจะใช้งบลงทุนปี 2567 เท่าไหร่ กับอะไรบ้าง

A: งบลงทุนสำหรับปี 2567 ประมาณ 80 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือและเครื่องจักร สำหรับไตรมาสที่ 1 มีการลงทุนเครื่องจักรที่ใช้สำหรับผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เพิ่มเติม เพื่อรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้าที่สูงขึ้น และมีแผนปรับปรุงไลน์การผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มเติมระบบ Automation และ Cobots เพื่อลดการพึ่งพาแรงงานในอนาคต

Q: ทั้งปี 2567 คาดว่ารายได้จะโตเท่าไร

A: บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตอย่างน้อย 10%

Q: ความสามารถในการทำกำไรปี 2567 จะเป็นอย่างไรบ้าง

A: ความสามารถในการทำกำไรสำหรับปี 2567 มีแนวโน้มสูงขึ้น จากปัจจัยราคาวัตถุดิบที่ลดลง และค้นทุนพลังงานที่ลดลงทั้งด้านปริมาณการใช้ที่ลดลงจากการติดตั้งโซลาร์เซลล์ และปัจจัยด้านราคาที่อัตราค่า Ft ของค่าไฟฟ้าลดลงต่ำกว่าปีก่อน รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำ การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก BOI ก็เป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้ความสามารถในการทำกำไรของปี 2567 เพิ่มขึ้นเช่นกัน

Q: บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตในปีนี้อย่างไร เติบโตจากไหนบ้าง

A: ตั้งเป้าการเติบโตอย่างน้อย 10% โดยเติบในทุกๆกลุ่มธุรกิจ โดยมุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อน ที่ต้องใช้เทคโนโลยีในการผลิตขั้นสูงและเครื่องจักรที่แม่นยำ ซึ่งจะเป็นตลาดที่มีคู่แข่งน้อยกว่าและอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า

Q: เหตุใดยอดยานยนต์เราถึงเพิ่มขึ้น qoq เพราะได้ลูกค้าใหม่หรือไม

A: เป็นลูกค้าเจ้าเดิมที่เข้ามาตั้งแต่ปี 2023 แต่ปัจจุบันมีการย้ายฐานการผลิต โดยปิดโรงงานในอเมริกาและย้ายฐานการผลิตมาที่ POLY โดยคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งหมด

Q: ยอดขายConsumer products จะมีโอกาสกลับไปเยอะก่อนหน้านี้หรือไม่ และมีโอกาสโตหรือไม่

A: ผลิตภัณฑ์ที่ถูกเลื่อนคำสั่งซื้อยังคงมีการขยายตลาดเพิ่มเติมในหลายๆประเทศ ปัจจุบันเริ่มมีการวางขายในประเทศแคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่นเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ และตั้งเป้าทำการตลาดในอเมริกาอีกครั้งช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2025

Q: ยอดขาย Medical devices qoq ดูทรงๆ ปีหน้ามองอย่างไร

A: สินค้ากลุ่ม Medical โดยปกติแล้วจะใช้ระยะเวลาในการ validation ผลิตภัณฑ์ค่อนข้างนาน ซึ่งปัจจุบันยังมีอีกหลายผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนนี้ ในช่วงปลายไตรมาสที่ 4 จะสามารถเริ่มผลิตชิ้นส่วนสำหรับกล่องเก็บเลือดสำหรับการผ่าตัดได้แล้ว และในปี 2025 จะสามารถผลิตชิ้นส่วนทั้งหมดได้ เป็นปัจจัยสนับสนุนหลักสำหรับการเติบโตของ Medical ในปี 2025

Q: ทั้ง 3 BU ปีหน้า2025 มองอย่างไร กับเป้าหมาย

A: ภาพรวมเศรษฐกิจปีหน้ายังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับแต่ละ BU ยังมีโอกาสให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มยานยนต์ที่มีคำสั่งซื้อจากอเมริกา และจะเริ่มการผลิตเต็มที่ในปี 2025 กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีแนวโน้มจะ Relaunch อีกครั้งหนึ่ง และขยายตลาดไปประเทศอื่นๆเพิ่มเติม และกลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งจากสินค้าใหม่ และสินค้าเดิมที่มีตลาดที่กว้างขวางขึ้น

Q: เหตุใด gpm เราถึงค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเพื่อนๆในอุตสาหกรรม

A: สินค้ากลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว จากเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตซึ่งรายได้กลุ่มนี้มีสัดส่วนสูงขึ้นเรื่อยๆ รายได้กลุ่มยานยนต์มุ่งเน้นชิ้นงานที่มีความซับซ้อนในการผลิตและมีการแข่งขันน้อยกว่า รวมถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและการใช้ระบบ Automation

Q: ธุรกิจของบริษัทมีความเป็น seasanol ไหมครับ ถ้ามี ไตรมาสไหนมากสุด ถึง น้อยสุด

A: ยอดขายหรือรายได้ของบริษัท ไม่ได้แปรผันตามช่วงฤดูกาลอย่างมีสาระสำคัญ แต่อาจจะมีผลกระทบเล็กน้อยจากช่วงเทศกาลที่เป็นวันหยุดยาวเช่นช่วงสงกรานต์ และช่วงปีใหม่ เป็นต้น

Q: เหตุใดถึงตั้งเป้าโต 20% ทั้งๆที่ปี 2024 ดูเหมือนไม่ได้โต หรือรายได้ทรงๆ

A: ปี 2024 คำสั่งซื้อที่เพิ่มเข้ามาส่วนใหญ่จะเข้ามาในช่วงไตรมาสที่ 3-4 และทยอยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับการหดตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นในปี 2024 อาจจะไม่เห็นการเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนมากนัก

สำหรับปี 2025 อุตสาหกรรมยานยนต์จะเติบโตอย่างชัดเจน จากลูกค้าที่ย้ายฐานการผลิตมาจากประเทศอเมริกา ซึ่งจะดำเนินการผลิตอย่างเต็มที่ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2025 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อที่มีปริมาณค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ฝั่ง Medical ก็ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังละเริ่มขายในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2025 ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้สามารถมีรายได้เติบโตถึง 20% ได้

Q: อัตราแลกเปลี่ยน q3 ที่ผันผวน มีผลกระทบกับบริษัทมากน้อยแค่ไหน

A: ไม่ค่อยมีผลกระทบ เนื่องจากการขายสินค้าให้ลูกค้าส่วนใหญ่จะซื้อขายเป็นเงินบาท ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกค้าต่างประเทศ ส่วนการซื้อวัตถุดิบที่มีการนำเข้ามา มีการจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศเช่นกัน แต่เนื่องจากวัตถุดิบส่วนใหญ่เป็นการซื้อในประเทศ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนมากนัก

Q: ปกติการบุ๊คค่าใช้จ่ายโบนัสของบริษัท บุ๊คทุกไตรมาสหรือไม่ หรือบุ๊คครั้งเดียวไตรมาส4

A: บริษัทฯมีการบันทึกโบนัสค้างจ่ายทุกเดือน โดยอ้างอิงข้อมูลอัตราการจ่ายโบนัสของปีก่อนเป็นเกณฑ์

Q: สิทธิ BOI ที่ทำให้ tax เสีย 5% ตรงนี้จะอยู่ได้อีกกี่ปี

A: บัตรส่งเสริมการลงทุนที่มีผลต่อภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ปัจจุนบันมีการใช้สิทธิอยู่มี 2 ใบ

  1. สำหรับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ สามารถใช้สิทธิได้ถึงปี 2025
  2. สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยานยนต์ สามารถใช้สิทธิได้ถึงปี 2027

สำหรับบัตรส่งเสริมการลงทุนที่จะหมดอายุในปี 2025 บริษัทยังมีบัตรส่งเสริมการลงทุนของเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์อีก 1 บัตร มีอายุ 5 ปี ซึ่งยังไม่นับเวลาการใช้สิทธิ โดยหากบัตรใบแรกหมดอายุแล้ว บริษัทสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากบัตรใบนี้ต่อได้ทันที

Q: จากลูกค้าที่ย้ายฐานการผลิตจาก USA มาที่เรา จะสามารถเพิ่มรายได้ให้เราได้ประมาณกี่ % ในส่วนของกลุ่มยานยนต์

A: อ้างอิงจากประมาณการคำสั่งซื้อของลูกค้า เมื่อแม่พิมพ์เสร็จสมบูรณ์ทั้งหมด จะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณไตรมาสละ 50 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 30% ของรายได้กลุ่มยานยนต์

Q: ช่วยยกตัวอย่าง คำว่า สินค้า แต่ละกลุ่ม ให้เห็นภาพชัดเจนด้วยครับ ฟังแล้ว ยังไม่เข้าใจ ว่า poly ผลิต สินค้า อะไร ขาย

A: สินค้าจากยาง พลาสติก และซิลิโคน ประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

  1. สินค้ากลุ่มยานยนต์ เช่น ท่อร้อยสายไฟ ไฟหน้ารถยนต์ ไฟท้ายรถยนต์ ยางกันสั่นสะเทือน ชิ้นส่วนในระบบความปลอดภัย เป็นต้น https://www.polynet.co.th/th/our-business/automotive
  2. สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น บรรจุภัณฑ์จากซิลิโคน อุปกรณ์ทำความสะอาด ซีลยางกันน้ำในอุปกรณ์ส่องสว่าง เป็นต้น https://www.polynet.co.th/th/our-business/consumer-products
  3. เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น อุปกรณ์ให้สารละลายทางเลือด ท่อช่วยหายใจ อุปกรณ์ช่วยเพิ่มโอกาสในการมีบุตร เป็นต้น https://www.polynet.co.th/th/our-business/medical-devices-and-equipment

หรือนักลงทุนสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมกับรูปตัวอย่างสินค้า ได้ตามที่ลิงค์ด้านล่างของแต่ละกลุ่มธุรกิจ

Q: %npm ระดับ 20% ถือว่าดีเกินจริงที่บริษัททำได้หรือไม่

A: นักลงทุนสามารถมั่นใจได้ว่า บริษัทจัดทำบัญชีตามมาตรฐานที่รองรับ และรับรองโดยผู้สอบบัญชี สำหรับตัวเลขในงบการเงินที่มี NPM ที่ระดับ 20% ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดยอัตราดังกล่าวสอดคล้องกับความสามารถของบริษัทโดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้

  1. สัดส่วนรายได้ของสินค้ากลุ่ม Medical ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสินค้ากลุ่ม medical เป็นกลุ่มที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง เนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องมีการลงทุนสูง ประกอบกับต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูงและมีความซับซ้อน รวมถึงระบบที่ต้องควบคุมมาตรฐานที่เข้มงวด ทำให้คู่แข่งน้อยกว่าจึงมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าสินค้ากลุ่มอื่นๆ
  2. การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
    1. ทั้งด้านวัตถุดิบที่มีการ sourcing ที่มีประสิทธิภาพ การมีโรงงาน compound เป็นของตัวเอง ช่วยทำให้ต้นทุนด้านวัตถุดิบถูกลง
    2. กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ทั้งแม่พิมพ์คุณภาพสูง และการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง จากโรงงานผลิตแม่พิมพ์ภายในบริษัท รวมถึงการใช้ระบบ automation ที่ทำให้ผลิตได้มากขึ้นในขณะที่ต้นทุนต่ำลง
    3. การใช้พลังงานหมุนเวียนจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้สามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ถึง 25%
  3. ต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ จากระดับหนี้สินที่ค่อนข้างต่ำ
  4. สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับสินค้าในกลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์

Q: การเลือกตั้งเมกาได้ทรั้มมา จะทำให้เราได้หรือเสียประโยชน์

A: ตามนโยบายของ Donald Trump เรื่องการค้าระหว่างประเทศ อาจจะเป็นผลบวกมากกว่าผลลบ เนื่องจากนโยบายดังกล่าวเป็นแบบเฉพาะเจาะจงมากกว่า ซึ่งจะโฟสกัสไปที่ประเทศจีน รัสเซีย เม็กซิโก เป็นหลัก หลายๆสินค้าที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศดังกล่าว อาจจะต้องย้ายไปประเทศอื่นที่มีความตึงเครียดกับอเมริกาน้อยกว่า สำหรับประเทศไทยยังมีมุมมองที่เป็นบวกสำหรับสหรัฐอเมริกามากกว่า เช่นเดียวกับในสมัยที่แล้ว Donald Trump เริ่มใช้นโยบายทางการค้าในช่วงปี 2017-2021 ไทยยังเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญสำหรับการย้ายฐานการผลิตจากจีน จึงทำให้การส่งออกของประเทศไทยไปสหรัฐมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จาก

Q: ยานยนต์จีนเข้ามา เราจะได้ประโยชน์บ้างหรือไม่

A: ยังมีโอกาสจากกลุ่มนี้เนื่องจากเงื่อนไขสำหรับการส่งเสริมการลงทุนของยานยนต์จีนที่เข้ามาตั้งบริษัทและโรงงานในไทย โดยมีข้อกำหนดว่าบริษัทจีนต้องนำเข้าและผลิตในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนด ทำให้ต้องมีสัดส่วนจากชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ

Q: ลูกค้ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจากอเมริกาที่เลื่อนคำสั่งซื้อ ยังมีโอกาสกลับหรือไม่

A: โปรเจคดังกล่าวยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับลูกค้าตลอดเวลา โดยมีการทำการตลาดในประเทศอื่นๆเพิ่มเติมแล้ว และคาดการณ์ว่าจะทำการตลาดในประเทศอเมริกาต่อในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568

Q: แนวโน้มจากการตีตลาดรถยนต์จากประเทศจีน ทางโพลีเน็ตมีวิธีรับมืออย่างไร หรือ มีโอกาสมากน้อยแค่ไหน

A: บริษัทฯ ยังคงเปิดรับทุกโอกาสที่เข้ามา ปัจจุบันบริษัทมีขีดความสามารถที่จะผลิตชิ้นส่วนต่างๆ สำหรับรถยนต์จากประเทศจีนได้ เช่น ชิ้นส่วนระบบช่วงล่าง ชิ้นส่วนสำหรับระบบความลปลอดภัย ไฟหน้ารถยนต์ ไฟท้ายรถยนต์ เป็นต้น โดยพิจารณาการรับคำสั่งซื้อจากหลายปัจจัย ทั้งด้านราคาและอัตรากำไร รวมถึงความยั่งยืนในระยะยาวควบคู่ไปด้วย

Q: งบลงทุนปี 2567 เท่าไหร่ กับอะไรบ้าง

A: สำหรับปี 2567 มีงบลงทุนประมาณ 70 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นการปรับปรุงเครื่องจักร และระบบ Automation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดการพึ่งพาแรงงาน นอกจากนี้ยังมีการขยายกำลังการผลิตของสายการผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในปี

Q: ความสามารถในการทำกำไรปี 2567 จะเป็นอย่างไรบ้าง

A: มีปัจจัยบวกในหลายๆด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว ต้นทุนพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบมีแนวโน้มลดลง ต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งเสริมให้ความสามารถในการทำกำไรของปี 2567 สูงขึ้น

Q: ถ้ามองเป้าหมายธุรกิจในระยะกลาง 3-5 ปี POLY จะมุ่งเน้นไปในด้านใด จะเห็นอะไร เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันบ้าง

A: เป้าหมายในระยะกลางเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต รวมถึงการร่วมมือกับลูกค้า รวมถึงหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน ในการร่วมวิจัย พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จะสามารถตอบโจทย์การใช้งาน ในราคาที่สามารถแข่งขันได้ รวมถึงมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นสูงสุด

Q: ธุรกิจของ Consumer ที่ลดลง แนวโน้มของทั้งปีนี้คาดว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง?

A: ปัจจุบันลูกค้า Consumer ที่ลดลงเริ่มมีการปรับแผนกลยุทธการตลาด โดยเริ่มขายสินค้าในประเทศอื่นๆเพิ่มเติมเพื่อทดแทนกับคำสั่งซื้อที่เลื่อนออกไป เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจอเมริกาที่มีภาวะชะลอตัว อย่างไรก็ตาม POLY ยังได้รับความไว้วางใจ โดยได้รับคำสั่งซื้อจากผลิตภัณฑ์อื่นเข้ามาทดแทนกับคำสั่งซื้อที่ลดลงเข้ามาส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ สินค้าอุปโภคบริโภคในตลาดประเทศญี่ปุ่นยังคงมียอดขายที่เติบโตได้ดี ผ่านการจัดแคมเปญส่งเสริมการขาย ทำให้ยอดขายยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

Q: กลยุทธ์หลักๆ ในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร?

A: เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ของตลาด และยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆ เช่น การร่วมมือพัฒนาผลิตภัณฑ์สายซิลิโคนให้อาการผ่านทางหน้าท้อง (PEG) กับคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

Q: จากผลงานของบริษัทในปีนี้ ผู้บริหารมีความมั่นใจหรือไม่ ว่าปีหน้าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันนี้?

A: ฝ่ายบริหารได้ติดตามสภาพเศรษฐกิจ และผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด และได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานโดยคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา เช่น การพัฒนาสูตรยาง การใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุรักษ์โลก รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เช่น การใช้ระบบ automation การพัฒนาแม่พิมพ์ การลดการใช้พลังงานหรือการใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพที่อยู่ในระดับสูง และมีราคาที่สามารถแข่งขันได้

Q: ความสามารถในการทำกำไรปี 2566 จะเป็นอย่างไรบ้าง?

A: POLY ตั้งเป้ากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 25-30% จากรายได้ที่เริ่มกลับมาในไตรมาสที่ 3-4 และต้นทุนต่างๆมีแนวโน้มที่ลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่อยู่ในระดับต่ำ ตั้งเป้าค่าใช้จ่ายขายและบริหารอยู่ที่ 8-9% ของรายได้ ประกอบกับต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียวกัน เนื่องจากได้มีการทยอยชำระหนี้ไปก่อนหน้าค่อนข้างเยอะแล้ว และยังมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับจาก BOI ทำให้อัตราส่วนของความสามารถในการทำกำไร เพิ่มขึ้นสูงกว่าครึ่งปีแรก

Q: แนวโน้มไตรมาส 3/2566 เป็นอย่างไรบ้าง?

A: ไตรมาสที่ 3 เริ่มมีการ Mass production ผลิตภัณฑ์ใหม่หลายรายการทำให้รายได้เริ่มกลับตัวขึ้นมาทดแทนส่วนที่หายไปของสินค้าอุปโภคบริโภคได้ ส่วนทางด้านต้นทุนมีแนวโน้มลดลงทั้งด้านราคาวัตถุดิบ และต้นทุนด้านพลังงาน

Q: แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกหรือไม่?

A: ภาพรวมครึ่งปีหลัง มีหลายปัจจัยที่เป็นบวกเช่น แนวโน้มราคาวัตถุดิบเริ่มลดลง ต้นทุนด้านพลังงานลดลง รวมถึงแผง Solar cell ติดตั้งและสามารถผลิตไฟฟ้าได้แล้ว รวมถึงแผนการรับมือกับความเสี่ยงในอนาคตที่ได้เริ่มทำแล้ว เช่น การพัฒนาระบบ Automation ในโรงงานที่ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้น การพัฒนาแม่พิมพ์เพื่อเพิ่มอัตราการผลิตและลดของเสีย รวมถึงปัจจัยภายนอกในภาพเศรษฐกิจมหภาค ที่มีดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงขึ้น และกำลังซื้อมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ

Q: บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ในปี 2566 ไว้เท่าไร และในอนาคตบริษัทวางเป้าหมายไว้อย่างไรบ้าง?

A: ปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มยานยนต์ประมาณ 65% กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคประมาณ 18% และกลุ่มเครื่องมือแพทย์ประมาณ 17% POLY ตั้งเป้ากระจายรายได้แต่ละกลุ่มธุรกิจให้ใกล้เคียงกันเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเป็นหลัก โดยจะเร่งการเติบโตของกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้ากลุ่มเครื่องมือแพทย์ด้วยการทำการตลาด และร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กับสถาบันต่างๆ เพื่อให้ตัวผลิตภัณฑ์ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

Q: ปี 2566 มีแผนที่จะทำ JV และ M&A หรือไม่ และมีมูลค่าเท่าไหร่ เป็นกลุ่มธุรกิจใดบ้าง?

A: ปัจจุบันบริษัทยังไม่มีแผนดังกล่าว อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงมองหาโอกาสในการเติบโต รวมถึงธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบายและกลยุทธของบริษัท โดยคำนึงถึงเป้าหมายที่สอดคล้องวิสัยทัศน์ของบริษัท และมุ่งเน้นการสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นในระยะยาวเป็นสำคัญ

Q: แผนการลงทุนเพิ่มเติมในปี 2566 จัดสรรงบลงทุนไว้อย่างไรและเกี่ยวกับอะไรบ้าง?

A: แผนการลงทุนในปี 2566 มีการจัดสรรงบประมาณการลงทุนไว้ประมาณ 300 ล้านบาท ซึ่งรายการส่วนใหญ่จะประกอบด้วย แผนการติดตั้ง Solar cell การซื้อเครื่องจักรเพื่อรองรับการเติบโตการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต และการปรับปรุงไลน์การผลิต

Q: ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตที่เท่าไหร่ และในปี 2566 จะมีการเพิ่มกำลังการผลิตหรือไม่ และปริมาณเท่าไหร่?

A: กำลังการผลิตทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 5,400 ตันต่อปี แผนเพิ่มกำลังการผลิตของปี 2566 มีประมาณ 200 ตัน โดยส่วนใหญ่กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น ได้เพิ่มขึ้นในปี 2565 ไปแล้วค่อนข้างเยอะ จากแผนการขยายโรงงาน เพื่อรองรับการเติบโตในแต่ละอุตสาหกรรมที่สูงขึ้น

Q: แผนการติดตั้ง Solar cell ในปี 2566 สามารถลดค่าไฟฟ้าได้เท่าไหร่?

A: แผนการติดตั้ง Solar cell มีขนาดการผลิตไฟฟ้าสูงสุดรวมประมาณ 2.5 MW หากคำนวณประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าที่ประมาณ 75% โดยให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน จะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณเดือนละ 243,750 หน่วย ซึ่งการใช้ไฟฟ้าดังกล่าวจะไปลดลงโดยตรงกับค่าไฟฟ้า on peak ที่มีอัตราที่สูงเนื่องจากค่า ft ที่ค่อนข้างสูงในปัจจุบัน

ซึ่งปัจจุบันการใช้ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 900,000 หน่วย รวมทั้ง on peak และ off peak ซึ่งจะทำให้หน่วยไฟฟ้าที่ใช้ลดลงจากเดิมประมาณคิดเป็นประมาณ 25% ของหน่วยที่ใช้ไฟฟ้า

Q: ปี 2566 บริษัทมีการตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้อย่างไร และการเติบโตนั้นมาจากอุตตสาหกรรมใด?

A: บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 15% โดยการเติบโตจะเติบโตจากทุกๆ อุตสาหกรรม รวมถึงโอกาสทางธุรกิจจากกลุ่มใหม่อื่นๆ ที่เป็นโอกาสที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

Q: ปี 2566 บริษัทมีความกังวลเรื่องอะไรบ้าง ที่จะทำให้แผนงานของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้?

A: ปัจจัยที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้เช่น ปัจจัยภายนอกเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีการวางแผนและบริหารความเสี่ยง และได้มีการจัดทำวิธีรับมือกับความเสี่ยง เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

Q: แนวโน้มราคาวัตถุดิบในอนาคตจะเป็นอย่างไร และจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานหรือไม่?

A: แนวโน้มราคาวัตถุดิบโดยหลักจะอิงจากราคาน้ำมัน เนื่องจากปิโตรเคมีหลายๆจะเป็นผลพลอยได้จากกระบวนการที่เกี่ยวกับน้ำมัน ในปี 2565 ราคาน้ำมันเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งราคาน้ำมันได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ดังกล่าวมีความคลี่คลายมากขึ้น ราคาน้ำมันเริ่มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 ส่วนแนวโน้มในปี 2566 อาจจะต้องระเมินปัจจัยหลายๆด้านประกอบ เช่น สภาพเศรษฐกิจ ภาวะความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการตั้งราคาขายโดยใช้ต้นทุนเป็นเกณฑ์ หากราคาวัตถุดิบมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ราคาขายก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน